คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1350/2563

ขณะ จ. อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลย จ. คบหาฉันชู้สาวกับผู้ตายจนเป็นสาเหตุให้จำเลยหึงหวงและทะเลาะกัน แล้วแยกกันอยู่กับ จ. ไม่ได้อยู่กินฉันสามีภริยากันอีก วันเกิดเหตุเมื่อผู้ตายเห็นรถจำเลยจอดอยู่ จึงขับรถมาจอดเทียบข้างรถจำเลย แล้วจำเลยพูดกับผู้ตายว่า มึงยังไม่เลิกยุ่งกับเมียกูอีกหรือ ลูกโตกันหมดแล้ว ก็เป็นการพูดในทำนองขอร้องให้ผู้ตายเลิกคบหากับ จ. และให้เห็นแก่บุตรของจำเลยกับ จ. ซึ่งโตแล้ว แต่ผู้ตายกลับพูดด้วยถ้อยคำหยาบคายว่า จะเลิกยุ่งทำไม เมียมึงเย็ดมันดี ซึ่งเป็นการพูดต่อหน้าบุตรชายของจำเลยที่เกิดกับ จ. ด้วย คำพูดของผู้ตายเช่นนั้นเป็นการเย้ยหยันและดูถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีของจำเลยอย่างรุนแรง จึงเป็นการข่มเหงจิตใจจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม และการที่ผู้ตายคบหากับ จ. มาตั้งแต่ขณะ จ. อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลย ถือว่าจำเลยถูกกดขี่ข่มเหงต่อเนื่องมาโดยตลอด ทำให้จำเลยไม่อาจ อดกลั้นโทสะไว้ได้จึงใช้ปืนยิงผู้ตายไปในทันทีทันใด กรณีย่อมเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72ผู้ตายมีส่วนก่อให้จำเลยกระทำความผิด ผู้ตายจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยสำหรับความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามฟ้อง โจทก์ร่วมซึ่งเป็นภริยาของผู้ตายย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) และไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตาม ป.วิ.อ. มาตรา 30แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่ปัญหาว่าจำเลยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ภริยาของผู้ตายหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และ 225 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ตายมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายโดยมีส่วนก่อให้จำเลยกระทำความผิด ก็เป็นข้อเท็จจริงที่จะนำมาใช้ประกอบดุลยพินิจในการกำหนดค่าสินไหมทดแทนเท่านั้น ไม่ทำให้สิทธิของผู้เสียหายที่จะขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหมดไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1350/2563

 

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 288, 371, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธแต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพในข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ส่วนข้อหาฆ่าผู้อื่นให้การว่ากระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ

ระหว่างพิจารณา นางไพเราะ ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายคำรณ ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาฆ่าผู้อื่น

โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมเป็นเงิน 5,640,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยกระทำความผิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยไม่ให้การในคดีส่วนแพ่ง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะและฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 14 ปี ฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ จำคุก 7 ปี ฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 3 เดือน เมื่อรวมทุกกระทงแล้วคงจำคุก 7 ปี 9 เดือน ริบของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของโจทก์ร่วม กับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม 340,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันละเมิด (วันที่ 23 พฤษภาคม 2560) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ

โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 228 (ที่ถูก มาตรา 288) เป็นการกระทำกรรมเดียวกับความผิดฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินปืนโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน ให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุก 18 ปี คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 12 ปี เมื่อรวมกับความผิดฐานอื่นตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว รวมเป็นจำคุก 12 ปี 9 เดือน ให้เพิกถอนคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของนางไพเราะ ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยให้นำเงินที่จำเลยชำระเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2561 จำนวน 200,000 บาท และเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2561 จำนวน 175,699.86 บาท หักชำระเป็นค่าดอกเบี้ยที่ค้างชำระก่อน หากมีเงินเหลือให้หักชำระต้นเงิน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังยุติว่า เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2560 เวลากลางวัน จำเลยขับรถยนต์ไปรับนายณัฐวุฒิ และเด็กชาย ณ. บุตรนอกสมรสของจำเลยกับนางสาวจิราภรณ์ กลับจากโรงเรียน ขณะที่จำเลยขับรถยนต์มาถึงบริเวณวงเวียนทางเข้าตำบลบางแขม เห็นรถยนต์ของนายคำรณ ผู้ตายขับสวนมา จำเลยจึงขับรถตามรถของผู้ตายเพื่อดูว่านางสาวจิราภรณ์นั่งมาในรถกับผู้ตายหรือไม่ ต่อมาระหว่างทางจำเลยพบรถของผู้ตาย จึงขับรถไปรออยู่ที่บริเวณใกล้สะพานหนองดินแดง จังหวัดนครปฐม ที่เกิดเหตุ ผู้ตายขับรถเข้ามาเทียบด้านข้างและเปิดกระจกตะโกนถามจำเลยว่า ไอ้แก่นมึงตามกูมาทำไม จำเลยตะโกนตอบไปว่า มึงยังไม่เลิกยุ่งกับเมียกูอีกหรือ ลูกโตกันหมดแล้ว ผู้ตายตะโกนตอบว่า จะเลิกยุ่งทำไม เมียมึงเย็ดมันดี จำเลยจึงด่าผู้ตายว่า ไอ้สัตว์ แล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายหลายนัด จนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ชั้นสอบสวนพันตำรวจโทปิยะพงศ์ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองนครปฐมสอบคำให้การนางไพเราะ โจทก์ร่วมภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย นายณัฐวุฒิ เด็กชาย ณ. นางสาวจิราภรณ์ และจำเลยไว้ สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะหรือไม่ เห็นว่า ตามคำเบิกความของโจทก์ร่วมและคำให้การของนางสาวจิราภรณ์รับฟังได้ว่าขณะนางสาวจิราภรณ์อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลย นางสาวจิราภรณ์คบหาฉันชู้สาวกับผู้ตายจนเป็นสาเหตุให้จำเลยหึงหวงและทะเลาะกัน แล้วแยกกันอยู่กับนางสาวจิราภรณ์ ไม่ได้อยู่กินฉันสามีภริยากันอีก แต่ได้ความจากนายณัฐวุฒิ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมว่า นางสาวจิราภรณ์ยังมาหาเด็กชาย ณ. บุตรชายที่พักอาศัยอยู่กับจำเลยเป็นประจำ วันเกิดเหตุจำเลยเห็นรถผู้ตายโดยบังเอิญจึงขับรถตามรถผู้ตายไป ก็เพื่อต้องการจะพาบุตรชายไปดูว่านางสาวจิราภรณ์นั่งอยู่ในรถผู้ตายหรือไม่ ไม่ใช่จำเลยตามไปหาเรื่องหรือจะไปทำร้ายผู้ตาย เมื่อผู้ตายเห็นรถจำเลยจอดอยู่ จึงขับรถมาจอดเทียบข้างรถจำเลย แล้วจำเลยพูดกับผู้ตายว่า มึงยังไม่เลิกยุ่งกับเมียกูอีกหรือ ลูกโตกันหมดแล้ว ก็เป็นการพูดในทำนองขอร้องให้ผู้ตายเลิกคบหากับนางสาวจิราภรณ์และให้เห็นแก่บุตรของจำเลยกับนางสาวจิราภรณ์ซึ่งโตแล้ว แต่ผู้ตายกลับพูดด้วยถ้อยคำหยาบคายว่า จะเลิกยุ่งทำไม เมียมึงเย็ดมันดี ซึ่งเป็นการพูดต่อหน้าบุตรชายของจำเลยที่เกิดกับนางสาวจิราภรณ์ด้วย คำพูดของผู้ตายเช่นนั้นเป็นการเย้ยหยันและดูหมิ่นเหยียดหยามศักดิ์ศรีของจำเลยอย่างรุนแรง จึงเป็นการข่มเหงจิตใจจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม และการที่ผู้ตายคบหากับนางสาวจิราภรณ์มาตั้งแต่ขณะนางสาวจิราภรณ์อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลย ถือว่าจำเลยถูกกดขี่ข่มเหงต่อเนื่องมาโดยตลอด เมื่อจำเลยได้ยินคำพูดของผู้ตายดังกล่าวทำให้ไม่อาจอดกลั้นโทสะไว้ได้จึงใช้ปืนยิงผู้ตายไปในทันทีทันใด กรณีย่อมเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72 ซึ่งศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดเพียงใดก็ได้ แต่ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำคุกจำเลย 14 ปีนั้น หนักเกินไป เห็นสมควรกำหนดโทษฐานนี้เสียใหม่ให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการฆ่าผู้ตายบันดาลโทสะนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าผู้ตายมีส่วนก่อให้จำเลยกระทำความผิด ผู้ตายจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยสำหรับความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามฟ้อง โจทก์ร่วมซึ่งเป็นภริยาของผู้ตายย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) และไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 30

ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางไพเราะ ภริยาของผู้ตายหรือไม่ เห็นว่า แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาก็ตาม แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และ 225 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ตายมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายโดยมีส่วนก่อให้จำเลยกระทำความผิด ก็เป็นข้อเท็จจริงที่จะนำมาใช้ประกอบดุลยพินิจในการกำหนดค่าสินไหมทดแทนเท่านั้น ไม่ทำให้สิทธิของผู้เสียหายที่จะขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหมดไป ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นางไพเราะเป็นเงิน 340,000 บาท นั้น เป็นการเหมาะสมแล้ว แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านางไพเราะได้รับชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยแล้วตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2561 ตามคำแถลงขอรับเงินลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2561 และหลักฐานการจ่ายเงินเข้าบัญชีของนางไพเราะลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2561 ในสำนวน จึงไม่มีค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยจะต้องชำระอีก

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายหลายนัดจนผู้ตายถึงแก่ความตายในที่เกิดเหตุ แม้จะเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ แต่ถือว่าเป็นการกระทำที่ร้ายแรง และก่อเหตุบริเวณถนนสาธารณะซึ่งมีผู้คนสัญจรผ่านไปมา กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72 ลงโทษจำคุก 6 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี เมื่อรวมกับความผิดฐานอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว รวมเป็นจำคุก 3 ปี 9 เดือน ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของโจทก์ร่วมและยกคำร้องให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

 

 

 

 

 

 

 


 

 

 

 

 

 

 

 

 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


 

 

บทความที่น่าสนใจ

-การด่าตำรวจจราจรว่ารับสินบนจะมีผิดความหรือไม่

-ด่ากันทางโทรศัพท์

-ส่งมอบโฉนดให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นหลักประกันต่อมาไปแจ้งความว่าโฉนดหายมีความผิดต้องโทษจำคุก

-การปลอมเป็นเอกสารจำเป็นต้องมีเอกสารที่แท้จริงหรือไม

-การลงลายมือแทนกันเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร

-เมื่อครอบครองปรปักษ์ที่ดินแล้ว ต่อมาเกิดที่งอกใครเป็นเจ้าของที่งอกนั้น

-ซื้อที่ดินในหมู่บ้านจัดสรร แล้วไปซื้อที่ดินข้างนอกที่ติดกับหมู่บ้าน
เพื่อเชื่อมที่ดินดังกล่าวเข้ากับที่ดินในหมู่บ้าน

-ขายฝากที่ดินต่อมาผู้ขายได้ปลูกสร้างบ้านบนที่ดิน แต่ไม่ได้ไถ่ภายในกำหนดบ้านเป็นของใคร

-ไม่ได้เข้าร่วมในการแบ่งกรรมสิทธิ์รวม

-ปลูกต้นไม้ในทางสาธารณะสามารถฟ้องให้รื้อถอนออกไปได้

-การทำสัญญายอมในศาลโดยการครอบครองในป่าสงวน

-เจ้าของรวมนำโฉนดที่ดินไปประหนี้เงินกู้ผลเป็นอย่างไร

-การต่อเติมภายหลังปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำ

-คนต่างด้าวก็สามารถครอบครองปรปักษ์ได้

-ผู้รับการให้ด่าว่าผู้ให้ ผู้ให้สามารถเพิกถอนการให้ได้

-ยกที่ดินให้แล้ว แต่มีสิทธิเก็บกินโดยไม่ได้จดทะเบียนผลเป็นอย่างไร

-ด่าว่า จัญไร ถอนการให้ได้

-ฟ้องเรียกค่าขาดกำไร เป็นค่าเสียหายพฤติการณ์พิเศษ

-หนังสือทวงถามส่งไปที่บ้านตามภูมิลำเนาอ้างว่าไม่ได้รับได้หรือไม่

-การยินยอมของเด็กที่ให้ล่วงละเมิดทางเพศ ยังคงเป็นความผิดฐานละเมิด

-ดูหมิ่นเรียกค่าเสียหายได้เท่าไหร่

-ตั้งใจไปกู้แต่เจ้าหนี้ให้ทำสัญญาขายฝากผลเป็นอย่างไร

-คำมั่นจะให้เช่าเป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียว

-การโอนสิทธิการเช่าทำได้หรือไม่